Translate

วันศุกร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2559

Kirby's story of star 2nd ep 5 : คุม

     วันนี้ชั้นต้องรู้ให้ได้!
     บุนปิดบังอะไรจากพวกเรา เขามีส่วนเกี่ยวข้องกับบานดาน่าตัวปลอมรึไม่ และทำไมเขาต้องโกธรมากเมื่อชั้นจับหนังสือเล่มที่เขียนหน้าปกว่า กระจก
     พวกเรานัดเขาหลังเลิกเรียนที่ใต้ต้นไม้ใกล้ๆกับสวนพฤษศาสตร์ เป็นที่ที่คนไม่ค่อยรึแทบไม่ผ่านเลย ที่นั่นจึงเป็นที่ที่ดีในการคุยเรื่องนี้ ถ้าบุนไม่เกี่ยวข้อง เขาก็จะเป็นคนเดียวที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเรา และหวังว่าเขาคงจะไม่ใช่
     "..พ..พวกนายมีอะไรเหรอ?"บุนยืนเกร็งที่เห็นสีหน้าของดีดีดีกับบานดาน่าที่จริงจังราวกับต้องการคำตอบในทันที ส่วนเมต้าไนท์กับคิลเลอร์นั่งกับพื้น ชั้นยืนพิงต้นไม้ข้างๆ
     ทุกคนล้วนต้องการคำตอบ
     "บุน ฟังนะครับ ผมว่าบุนทำตัวแปลกๆไปรึเปล่าช่วงนี้"
     บานดาน่ามองบุน
     "ม..ไม่นี่"
     "ผ่านมาซักพักแล้วนะที่นายดูกระสับกระส่ายแปลกๆ"ดีดีดีพูดต่อ"เมตี้ก็สังเกตตลอดนะ เขาบอกว่าตั้งแต่เดือนที่แล้ว"
     "ชั้นบอกว่าชั้นไม่ชอบชื่อเล่นนั่นนะ เรียกชั้นว่าเมต้า เ-ม-ต้-า!"เมต้าไนท์เถียงขึ้นมา"เอาเถอะ แต่นายก็แปลกจริงๆนะ นายบอกมาเถอะว่ามีอะไร"
     "..อะไรเหรอ เมตี้..."บุนเรียกเมต้าไนท์ว่าเมตี้ ทุกคนติดชื่อเล่นนี้กันหมดแล้ว"ชั้นไม่ได้ปิดอะไรน--"
     "บุน เมื่อเดือนก่อน บานดาน่าตัวปลอมมาทำร้ายพวกเรา เขาบอกว่าเขามาจากโลกกระจก แล้วชั้นสังเกตว่านายเริ่มแปลกๆตั้งแต่เห็นกระจกที่โรงเรียนเอามาให้แล้ว อีกอย่าง หนังสือที่ชั้นหยิบขึ้นมา..ของนาย มันเขียนไว้ว่ากระจก นายก็โกธรใหญ่เลยที่ชั้นหยิบขึ้นมา ทำไมล่ะ นายกลัวชั้นอ่านเหรอ นายมีอะไรกันแน่"ชั้นถามเขา เขาก็นิ่งไประยะหนึ่งก่อนที่จะพูดขึ้นต่อ
     "ก็แค่ไม่อยากให้คนอื่นอ่านข้างในนี่นา มันเป็นของส่วนตัวนะ"
     "แต่นายโกธรยิ่งกว่าโกธรอีกนะ"ชั้นเถียงกลับ
     บุนไม่เถียงกลับ เขายืนนิ่งเงียบ ก่อนที่เขาจะวิ่งหันหลังไปด้วยความเร็ว คิลเลอร์ไม่รอช้า เขารีบชักดาบออกมาจากปลอก ขว้างลงตรงหน้าบุนก่อนที่จะได้วิ่งต่อ เฉียดหน้าเขาเพียงนิดเดียว ส่วนเมต้าไนท์วิ่งตามหลังมาพร้อมกับชั้น เขาเอาดาบชูขึ้น ขู่บุนด้วยเสียงที่ไม่เป็นมิตร
     "นายก็รู้ว่าชั้นไม่ทำหรอก แต่ว่าถ้านายปล่อยให้ชั้นเลือดขึ้นหน้าล่ะก็..."
     เขาลดเสียงลง ก่อนที่จะใช้ดาบนั้นฟันหญ้าข้างทางหายไปเท่ากับรัศมีของดาบที่ถึง
     คนอื่นๆตามมา สีหน้าเคร่งเครียดแสดงถึงอารมณ์ที่ไม่เป็นมิตร แม้แต่ตัวชั้นเองก็เป็นแบบนั้น บุนที่จ้องอยู่กับดาบของคิลเลอร์ก็หันมาทางชั้น
     "...."
     "...."
     ต่างคนต่างเงียบเสียง ไม่มีใครพูดอะไรต่อ สีหน้าของบุนเต็มไปด้วยความหวาดระแวง ความกลัว ความโกธร ทุกอารมณ์ผสมกันในหม้อเดียวกัน คนจนไม่สามารถรับรู้ได้ว่าเป็นแบบไหน ในที่สุดเขาก็เอ่ยขึ้นมาเบาๆว่า
     "...ชั้น...มาจากโลกกระจก..."
     ..........
     "ชั้นไม่แปลกใจหรอก"เด็กชายชาวแคปปี้ตัวสีชมพูพูด"แต่ทำไม.."
     บุนทำสีหน้าจริงจัง เมต้าไนท์ผ่อนดาบลง เก็บเหมือนเดิม คิลเลอร์หยิบดาบขึ้นและเอาผ้าเช็ดดินที่ติดตรงปลาย ดีดีดีเดินมาข้างๆเคอร์บี้ เอามือกอดอก เช่นเดียวกันกับบานดาน่าที่เอามือไขว่หลัง สายตายังคงจ้องบุนไม่เลิก
     "ชั้นน่ะ หนีออกมาจากโลกกระจกไม่นานนี้เอง ชั้นเข้าไปที่นั่นประมาณเกือบสิบห้าปีก่อนก่อนได้แล้วล่ะ แต่ว่าที่นั่นทำให้อายุชั้นน่ะแช่แข็งไป เคอร์บี้ นายก็เห็นหนังสือเก่าๆนั่นแล้วนี่ นั่นน่ะ เป็นบันทึกที่ช้้นเขียนตั้งแต่ชั้นเข้าไปที่นั่น จนออกมา ชั้นเข้าไปที่โลกกระจกและตกใจมากเมื่อเห็นทุกสิ่งทุกอย่างตรงข้ามกับโลกนี้หมดเลย แล้วชั้นก็พบว่าตัวเองสามารถคุมโลกดระจกได้ตามต้องการ ชั้นจึงคุมให้ทุกอย่างเป็นเหมือนโลกใบนี้ มีแต่สันติสุข ก่อนที่ดาร์กไมน์จะเข้ามาคุมโลกกระจก แล้วทำลายทุกอย่างไป..."
     "ดาร์กไมน์..?"ดีดีดีถามกลับไป
     "ดาร์กไมน์ในตอนแรกเขาก็หลงเข้ามา ด้วยความที่เขาฉลาด..ฉลาดมากว่าโลกกระจกมีชั้นคุมเบื้องหลัง ชั้นเลยให้เขาช่วยคุม ไม่นานโลกกระจกก็เริ่มเปลี่ยนไป ทุกอย่างเริ่มแปดเปื้อนไปด้วยเลือด ชั้นเห็นทุกคนที่อยู่ในโลกกระจกคร่ำครวญวอนหาสิ่งเดียวกัน นั่นก็คือเลือดและอิสรภาพ ดาร์กไมน์ทำให้ทุกคนต้องมาฆ่ากันเอง ชั้นได้ไปถามเขาว่าเพราะอะไรถึงทำแบบนั้น เขาตอบแต่เพียงแค่ว่าจะทำให้โลกข้างนอกเห็นความจริงให้ได้ ชั้นไม่เข้าใจเลย แต่ชั้นก็ทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายชั้นก็หาทางออกมาจากโลกนั้นได้ เริ่มต้นใหม่ทุกอย่าง ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น สุดท้ายกระจกบานนั้น...ที่เป็นของนักเรียนปีหนึ่งน่ะ ก็มีคนสั่งเข้ามาไว้ในโรงเรียนนี้ ดาร์กไมน์รู้ว่าชั้นอยู่นี่ ดาร์กไมน์รู้ว่าพวกนายอยู่ที่นี่"
     "ดาร์กไมน์ต้องการอะไรจากพวกเรากันนะ"บานดาน่าขยับผ้าโพกหัว"ผมไม่เข้าใจ ทั้งตัวผมบนโลกกระจก ทั้งการฆ่า มัน..ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับพวกเราเลยนี่ครับ?"
     "...มันอธิบายยากน่ะ...เรื่องนี้มันจะทำให้คนๆนึงในกลุ่มนายต้องเจ็บปวดมากแน่ๆ"บุนพูดต่อ"สิ่งที่ดาร์กไมน์ต้องการคืออยากให้พวกนายเข้าไปในโลกกระจก ไปสืบความจริง ไปเห็นความจริง ถ้าชั้นเดาไม่พลาด....ดาร์กไมน์เกี่ยวข้องกับเมดเทอร์ห่างๆด้วย"
     "เมดเทอร์..."เคอร์บี้พึมพัม เขาจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เจอนั้น เมดเทอร์บอกว่าอีกสามปีจะเจอกันอีก เมดเทอร์เป็นคนที่สร้างดีพเอ็นด์ขึ้นมา เมดเทอร์เป็นคนที่ต้องการให้เคอร์บี้ตายมากที่สุด เมดเทอร์เป็นคนที่ลึกลับมากที่สุด
     "แน่นอนว่าชั้นรู้ถึงดีพเอ็นด์ด้วย โลกกระจกน่ะจะสะท้อนทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนโลกให้เห็นผ่านกระจกบานหนึ่ง แน่ล่ะว่าตอนนี้ไม่ใช่แบบนั้น ตัวตนบนโลกกระจกคุมตัวเองไม่อยู่กันแล้ว พวกเขาเริ่มอยากออกมา แต่ตอนนี้มีคนเดียวที่ทำได้คือ.."
     "บานดาน่า...บนโลกกระจกสินะ"คิลเลอร์พูดเบาๆ"ชั้นพอจะเข้าใจแล้วล่ะ นายกำลังจะพูดว่า ยิ่งตัวตนบนโลกนี้ดียังไง ตัวตนบนโลกกระจกยิ่งจะตรงข้ามกันใช่มั๊ย เหมือนบานดาน่า สุภาพ อ่อนโยน แต่โลกกระจกเขาเป็นคนที่ก้าวร้าว บ้าคลั่ง"
     "..อื้อ.."บุนพยักหน้า"ที่ชั้นไม่อยากพูดเพราะว่า...พวกนายต้องไปที่นั่นแน่ๆ"
     "...กระจกนั่นอยู่ไหนแล้วล่ะ"ดีดีดีพูด"ชั้นต้องเห็นให้ได้ว่าอยู่ไหน พวกเราสัญญาเลยว่าจะไม่เข้าไปเด็ดขาด"
     "ชั้นก็เหมือนกัน"เมต้าไนท์เดินไปมา
     "ทำไมต้องการให้เราเห็นความจริง..ความจริงอะไรกัน"คิลเลอร์มองที่ดาบที่เขาเช็ดด้วยสายตาที่อ่านไม่ได้ว่าอารมณ์ไหน
     บุนมองที่คิลเลอร์ก่อนที่ทุกคนจะรู้ว่าบุนจ้องนานแค่ไหนเขาก็รีบหันหนี และบอกว่ากระจกนั้นอยู่ที่ห้องแถวห้องของผู้อำนวยการในตอนนี้ ผู้อำนวยการเป็นคนที่ตัวเล็ก ชาวฮู เขาย้อมผมของเขาให้เป็นสีม่วง ใส่สูทตลอดเวลา มีข่าวลือว่าลูกสาวของเขาหายตัวไปตั้งแต่สิบปีก่อน
     "นี่เหรอ..ห้องของผอ.ฮอล์แมน.."เคอร์บี้พูดพึมพัม เขาเห็นจากกระจกใสที่ติดหน้าห้อง"นั่นเลขาส่วนตัวเขานี่"
     เลขาส่วนตัวของเขาชื่อว่าซูซี่ เป็นชาวฮูเหมือนกัน เธอเป็นสุดยอดมนุษย์เงินเดือนอย่างแท้จริง ทำทุกอย่างเพื่อฮอล์แมนราวกับว่าตายแทนย่อมได้ นอกจากเธอจะเป็นเลขาส่วนตัวของเขาแล้ว เธอยังเป็นหัวหน้าฝ่ายในหน่วยงานหนึ่งขององค์กรไม่แสวงผลอีกด้วย เรียกได้ว่าความสามารถรอบด้าน
     อีกคนที่อยู่ในห้องนอกจากฮอล์แมนและซูซี่ ก็คือพี่ชายของเมต้าไนท์และคิลเลอร์ กาลาทิค ทั้งสามดูเหมือนจะคุยเรื่องอะไรซักอย่างอยู่ สีหน้าจริงจัง เรื่องนี้ทำให้สองพี่น้องฝาแฝดสงสัยเป็นอย่างมาก ทำไมพี่ชายของพวกเขาถึงมาที่นี่ด้วย แถมคุยกับผู้อำนวยการโรงเรียนราวกับว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ ไม่นานนักกาลาทิคก็เดินออกมา เขาแสดงท่าทีตกใจเมื่อเห็นน้องชายของเขาและเพื่อนๆยืนอยู่ตรงประตู
      "อ๊ะ!..ว..ว่า..ว่าไง! เมตี้ คิล! สบายดีมั๊ย เป็นไงบ้าง"
      "สบายดีครับ แต่ว่าพี่มาทำอะไรที่นี่เหรอครับ"เมต้าไนท์ถามพี่ชายคืน กาลาทิคยืนนิ่ง ก่อนที่จะพูดต่อ
     "พี่ก็มาหาคุณฮอล์แมนนี่แหล่ะ พอดีว่าทางคุณฮอล์แมนเขามีส่วนร่วมกับองค์กรวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของตำรวจสากลอยู่น่ะ พี่เลยมาคุยธุระให้"กาลาทิคสบัดมือไปมา"พี่ต้องไปแล้วล่ะ คนอื่นเขารอพี่อยู่ที่ข้างล่าง เดี๋ยวเขาจะว่าพี่เอา ไปก่อนนะ.."
     กาลาทิคเดินออกไป ไม่นานผอ.ฮอล์แมนก็เดินออกมาเจอกับพวกเขา
     "อ้าวๆ พวกเธอเด็กปีหนึ่งนี่! เข้ามาๆ! นั่งคุยกับชั้นก่อนก็ได้!"
     พวกเขาเดินเข้าไปด้วยสีหน้างุนงง พวกเขาไม่ได้จงใจจะเดินเข้าไป เพียงแค่ผ่านมาเท่านั้น
     "ไม่ต้องเรียกชั้นว่าผอ.ก็ได้ เรียกครูไม่ก็ลุงเถอะ ฮ่าฮ่า"ฮอล์แมนยิ้มแย้ม เขาบอกให้ซูซี่เอาแก้วชามาให้พวกเขาทั้งหกที่นั่งตรงข้ามบนโซฟาหนังสีดำหรู โต๊ะกลมสีขาว"นานๆทีได้นั่งคุยกับนักเรียนแบบนี้นะเนี่ย"
     "เออ..คือครูครับ..."เคอร์บี้ทักขึ้นมา"ทำไมถึงให้เราเข้ามาครับ?"
     "...พอดีว่าครูมีอะไรจะให้พอดีน่ะ เฉพาะสองพี่น้องฝาแฝดด้วย"เขานั่งลงด้วยท่าสบายๆ"พวกเธอได้ยินจากกาลาทิคแล้วนี่ว่าชั้นทำงานร่วมกับองค์กรวิจัยทางวิทยาศาสตร์ แล้วพวกเราก็ได้สร้างนี่ขึ้นมา เป็นของต้นแบบล่ะ"
     เขายืนผ้าคลุมสีม่วงกับสีดำให้ดู ก่อนที่จะวางลงบนโต๊ะ
     "มันคือ..."
     "ชั้นต้องขอโทษนะ แต่ว่าเธอกับซูซี่ออกไปก่อน เรื่องนี้มันเป็นความลับระหว่างคนที่เกี่ยวข้องเท่านั้นน่ะ"
     บุนกับซูซี่มองหน้ากัน และก็ยอมเดินออกไปจากห้อง เหลือเพียงแค่เพื่อนห้าคนกับฮอล์แมน
     "...ผ้าคลุมนี่น่ะ เป็นผ้าคลุมพิเศษ เราเรียกมันผ้าคลุมมิติ เวลาที่เราคลุมมัน และเก็บอะไรเข้าไปอย่างพวกเชือก ปากกา มันจะให้ความรู้สึกเหมือนว่าเราไม่เคยมีอะไรอยู่ในนั้นมาก่อน ง่ายๆก็คือจะเข้าสู่สภาวะมิติที่สี่"ฮอล์แมนลดเสียงลง"ชั้นลองให้กาลาทิคลองแล้ว เขาพอใจมากเลยล่ะ แถมยังบอกว่าอยากให้น้องชายเขา อีกอย่างนะ ผ้าคลุมนี่มีแค่สามผืนเท่านั้น สองผืนนี้ชั้นจะให้เธอสองคนตามที่กาลาทิคขอ ส่วนอีกผืนนั้นน่ะเป็นของพี่ชายพวกเธอ"
     "จะ...จะดีเหรอครับ? ให้ของแบบนี้กับพวกเรา..."คิลเลอร์มองตาฮอล์แมน
     "เอาเถอะๆ ยังไงพวกเราก็จะทำออกมาเรื่อยๆ แล้วก็นะ ผ้าคลุมนี่มีจุดพิเศษอยู่ จุดที่ทำให้ตกใจได้มากเชียวล่ะ พวกเธอลองคลุมดูแทนผ้าคลุมอันนั้นก่อน แล้วลองสบัดให้ดูนะ สบัดแรงๆเลยน่ะ"
     ทั้งคู่เดินเข้าไปที่ห้องข้างๆ พวกเขาไม่ต้องการให้บุนและซูซี่ที่แอบมองจะกระจกแทน ไม่นานฮอล์แมนก็เดินมาเอาม่านปิด พวกเขาจึงอดดูต่อ
     "สบัดแรงๆเหรอครับ?"เมต้าไนท์ถามย้ำอีกที"แบบนี้เหรอครับ?"
     "ไม่ๆ แรงกว่านั้นอีก"ฮอล์แมนบอก ไม่นานนักทั้งคู่ก็สบัดให้แรงที่สุดเท่าที่จะทำได้ และต่างคนต่างตกใจ
     ผ้าคลุมที่พวกเขาคลุมกันอยู่กลายเป็นปีกค้างคาวติดที่หลังของพวกเขา ปีกสีม่วงเข้มกับสีเทานั้นดูราวกับว่าสามารถหลุดได้ตลอดเวลา ไม่มีความรู้สึกของความเป็นเนื้อผ้า แต่เป็นปีกจริงๆ
     "ผ้าคลุมนี่เวลาสบัดแรงๆไปด้านหลังมันจะเปลี่ยนเป็นปีกได้น่ะ เทคโนโลยีขั้นสูงมาก--มากจนชั้นยังกลัวเลย"ฮอล์แมนอธิบายเสริม"ชั้นไว้ใจพวกเธอมากนะถึงให้ หวังว่าจะใช้ในทางทีดีล่ะ ผ้าคลุมนี้มีมูลค่ามหาศาลเชียว"
     "สุด..สุดยอด..."ดีดีดีเดินเข้าไปใกล้คิลเลอร์"ปีกจริงชัดๆ"
     "แน่นอนว่าต้องบินได้ล่ะ มันมีผังชิพรับข้อมูลจากประสาทติดอยู่ มันจะรับข้อมูลจากสมองพวกเธอส่งมายังปีกนี่ ถ้าอยากจะบินมันก็บินได้ตามใจนึก"ฮอล์แมนพูดต่อก่อนที่บานดาน่าจะเอ่ยปากถาม"ถ้าผ่อนมันลง มันจะกลายเป็นผ้าคลุมเหมือนเดิม"
     "แต่ว่า...พวกผมคงรับไว้ไม่ได้หรอก..."เมต้าไนท์พูดขึ้นมา เขาผ่อนปีกลงเป็นผ้าคลุมเหมือนเดิมก่อนที่จะถอดพับคืนให้ฮอล์แมน เขาวางลงบนโต๊ะ สวมผ้าคลุมสีน้ำเงินม่วงผืนเดิมของเขา คิลเลอร์พยักหน้าและทำตามเมต้าไนท์ ไม่มีเหตุผลอะไรที่พวกเขาจะรับไว้ เพราะพวกเขามีวาพ์บสตาร์ที่สามารถพาบินไปไหนต่อไหนอยู่แล้ว อีกทั้งของที่ให้มายังมีค่ามหาศาลรวมทั้งเป็นเทคโนโลยีชั้นสูงมาก ถ้าพวกเขาจะใส่คลุมเดินไปมามันจะเสียของ ยังไม่รวมว่าพวกเขาเป็นคนขี้เกรงใจด้วย
     "เอาน่าๆ รับไปเถอะ ชั้นรู้ว่าอนาคตพวกเธอต้องได้ใช้มันแน่ๆ"ฮอล์แมนเดินมาลูบหัวคิลเลอร์ เขาทำท่าทีไม่พอใจนิดๆ"ไม่จำเป็นต้องใส่หลังจากนี้เลยก็ได้"
     "ไม่ดีหรอกครับ"คิลเลอร์พึมพัม
     "เอ๊ะ พวกเธอนี่ขี้เกรงใจกว่าที่ชั้นคิดไว้เยอะมากเลยนะ พวกเขาเป็นแบบนี้ตลอดเลยเหรอ?"
     ฮอล์แมนหันมาทางเคอร์บี้ที่ยังยืนดูผ้าคลุมด้วยสายตาที่ชื่นชม อะไรที่ทำให้เทคโนโลยีก้าวกระโดดขนาดนี้กัน
     "อ๊ะ...อืม...นิสัยเลยล่ะครับ"เคอร์บี้ยิ้มแห้งๆพร้อมกับหัวเราะเบาๆ เขาละสายตาจากผ้าคลุมไปทางบานดาน่า
     "...แต่...ชั้นว่านายรับไว้ดีกว่านะ..."
     เคอร์บี้พูดเสียงเบาจนแทบจะกระซิบ น้ำเสียงจริงจัง ทุกคนยืนเงียบ หันมามองเคอร์บี้"อนาคตมันไม่แน่นอนหรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้น วาพ์บสตาร์อาจจะหาย วาพ์บสตาร์อาจจะไม่ตอบสนองอีกต่อไป หรือแม้กระทั่งพวกนาย....อาจจะตาย"
     คำสุดท้ายที่เคอร์บี้พูดนั้นเปี่ยมไปด้วยความน่าขนลุกราวกับว่าเป็นเสียงของฆาตกรโรคจิตพูด เขายิ้มเล็กๆ ก้มหน้าลง ก่อนที่จะหันหลังไปมองมีดปอกผลไม้ที่วางอยู่บนโต๊ะตัวหนึ่ง เขาหยิบขึ้นมา
     "ใช่...ใช่...ชั้นน่ะ ไม่อยากให้เป็นแบบนี้เลยนะ----ฮ๊าาาาาาา!!!!!!!"
      เคอร์บี้รีบวางมีดลง เขาตกใจมาก และหันกลับมา
     "มะ...เมื่อกี๊....ชั้นพูดอะไรแปลกๆ....ใช่มั๊ย?"
     เขาดูลนลานราวกับว่าเขาไม่ตั้งใจจะพูดแบบนั้น
     "...ใช่"บานดาน่าลงเสียงลง"เคอร์บี้ดูแปลกไปทันทีหลังจากที่บอกว่าให้เมต้าไนท์กับคิลเลอร์รับผ้าคลุมไว้...น้ำเสียง...เหมือนเคอร์บี้กำลังจะ...เอ่อ...เป็น...เอ่อ...โรคจิต...น่ะครับ...."
     "...."เคอร์บี้ยืนนิ่ง ก่อนที่เขาจะนั่งลงบนเก้าอี้"ชั้น...คุมตัวเองไม่ได้อีกแล้ว...."
     "คุมตัวเอง?"ฮอล์แมนเดินมานั่งลงข้างๆ"เธอหมายถึง..."
     "...ผมรู้สึกว่าเหมือนตัวผมมีสองคน...ครับ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่บางครั้งผมก็เผลอหัวเราะคนเดียว เผลอคิดอะไรที่มันแย่ๆ เผลอหยิบมีดมา..."
     คิลเลอร์ยืนนิ่ง เขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเคอร์บี้ แต่เขาเลือกที่จะยังไม่บอกตอนนี้ ฮอล์แมนบอกให้เขาสงบจิตใจเอาไว้ ก่อนที่จะให้กลับบ้าน เมต้าไนท์กับคิลเลอร์ไม่สามารถปฏิเสธผ้าคลุมที่ฮอล์แมนให้มาได้เลย ส่วนบุนกับซูซี่ก็ถูกฮอล์แมนเรียกไปบ่นเรื่องแอบดูก่อนหน้านี้ สรุปว่าวันนี้พวกเขาก็ยังไม่ได้เข้าใกล้กระจกมิติแม้แต่นิดเดียว แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือพฤติกรรมแปลกๆของเคอร์บี้
     "พักนี้ชั้น...เหมือนคนจิตหลอนใช่มั๊ย"เคอร์บี้พูดกับเพื่อนของพวกเขา"บางครั้งชั้นยังตกใจว่าตัวเองทำอะไรลงไป ครั้งนึงเหมือนชั้นจะไม่รู้ตัวว่าชั้นทำอะไรลงไป รู้ตัวอีกทีชั้นก็เห็นมีดในมือพร้อมกับตุ๊กตาตัวเก่าๆที่หัวขาด ตัวขาดจนนุ่นกระจายอยู่ตรงหน้าแล้ว...นายคิดว่าชั้นคงบ้าใช่มั๊ยล่ะ"
     ทุกคนตกใจที่เคอร์บี้บอก คิลเลอร์ถอนหายใจและบอกเบาๆระหว่างทาง
     "เคอร์บี้..มันเป็นไปได้สองอย่างคือจิตหลอนกับบุคลิกที่สองของนาย"คิลเลอร์หยิบกระดาษกับปากกาออกจากกระเป๋า พยายามเขียนไปเดินไป ยื่นให้เคอร์บี้ดู
     "ส่วนลึกจิตใจนายอาจจะถูกอะไรซักอย่างกระตุ้นให้ทำแบบนั้นขึ้นมาเพื่อระบายความเครียด ด้วยวิธีอะไรก็ได้ นายไม่รู้ตัวหรอกว่าทำอะไรลงไปกันแน่ แต่สบายใจได้ นานๆทีพฤติกรรมแบบนี้จะออกมา"
     "แต่วิธีระบายของชั้นคือหยิบมีดมานะ ถ้าเกิดว่า..."เคอร์บี้มองดูมือตัวเอง
     "...ชั้นคิดอีกอย่างว่ามันมีอีกกรณีนึง"คิลเลอร์พูดขึ้นอีกครั้ง"ตัวนายบนโลกกระจก...อาจจะทำอะไรซักอย่างแล้วมันมาเชื่อมกับจิตใจนายรึเปล่า"
     ทุกคนเดินมายังประตูหอ เปิดเข้าไป วางของ พร้อมนั่งลงในห้องรวม
     "เชื่อม..ต่อกัน?"บานดาน่าทวนคำ"หรือว่า..ที่ผมไม่สบายในวันนั้น ตัวผมบนโลกกระจก..."
     "อื้อ เขาต้องทำอะไรซักอย่างแน่ๆล่ะ ไม่แน่ตัวเคอร์บี้บนโลกกระจกอาจจะทำอะไรที่ส่งผลโยงมาที่เคอร์บี้จนแสดงออกมาแบบนี้"คิลเลอร์มองที่เคอร์บี้ เคอร์บี้พยายามจะตั้งสติอีกครั้ง
     'ตัวชั้นบนโลกกระจกพยายามจะคุมชั้นงั้นเหรอ?'
     "แสดงว่า ตัวเคอร์บี้ที่อยู่บนโลกกระจกพยายามจะคุมเคอร์บี้เหรอพี่"เมต้าไนท์ถามขึ้นมา
     "แต่ถ้าพยายามคุมล่ะก็ ไม่แน่ตัวของพวกเราแต่ละคนอาจจะพยายามคุมเราเองก็ได้"ดีดีดีเอามือเท้าคาง สีหน้าเครียด"ดีไม่ดี เราเองอาจจะทำอะไรแปลกๆตอนกลางคืนด้วยซ้ำ เหมือนบานดาน่าเมื่อคืนนี้"
     "เอ๋?"บานดาน่าทำหน้าสงสัย
     "เมื่อคืนช้้นได้ยินเสียงนายร้องโวยวายเบาๆในห้อง ชั้นนึกว่านายยังไม่นอนแล้วทะเลาะกับเพื่อนตอนคุยโทรศัพธ์เรื่องงาน.."ดีดีดีพูดอีกครั้ง บานดาน่าตกใจเอามือปิดปาก
     "ไม่จริงน่า...เมื่อคืนผมไม่ได้ทำอะไรเลยนะ ผมตั้งใจจะถามด้วยซ้ำว่าเมื่อคืนดีดีดีทำอะไรรึเปล่า เพราะได้ยินเสียงมือทุบโต๊ะไปมาตลอด"
     ทุกคนเงียบอีกครั้ง ก่อนที่จะหันมาทางเมต้าไนท์กับคิลเลอร์
     "แสดงว่า..."เคอร์บี้พูด"ทุกคน...ก็เริ่มมีอาการสินะ"
     "ไม่ใช่จิตหลอน ไม่ใช่ตัวตนที่สอง"
     "อื้ม...ทุกคนเริ่มโดนตัวเองบนโลกกระจกคุมแล้วสินะ"
     "พวกนายสองคนล่ะ ได้ยินอะไรแปลกๆกันเองรึเปล่า รึว่าเผลอทำอะไรแปลกๆกัน"ดีดีดีถามฝาแฝดทั้งสอง พวกเขาส่ายหน้าทั้งคู่
     "พวกชั้นก็แปลกใจนะ เท่าที่ฟังมาพวกชั้นก็ต้องโดนด้วยแล้ว แต่เมื่อคืน..ไม่สิ ที่ผ่านมาพวกชั้นก็ไม่มีอะไรแปลกไปเลย ปกติด้วยซ้ำ.."คิลเลอร์พูด
     "ต้องมีอะไรกับตัวพวกเราบนโลกกระจกแน่เลย"เมต้าไนท์มองพี่ชายตนเอง เขาพยักหน้าตาม
     "ชั้นว่าคืนนี้เราต้องแอบเข้าไปในโรงเรียนแล้วล่ะ ถ้าไม่รีบเข้าไปในโลกกระจกเพื่อจัดการกับปัญหาพวกนี้ ไม่แน่ว่าซักวันพวกเขาจะทำร้ายพวกนายทางอ้อมก็ได้"คิลเลอร์ดึงดาบขึ้นมา ดูหน้าที่มีหน้ากากปิดผ่านเงาบนดาบที่กระทบกับแสงไฟ"รีบจัดของที่จำเป็นเถอะ เราไม่รู้ว่าจะไปนานเท่าไหร่ ขอบคุณพระเจ้าที่หลังจากวันนี้ห้าวันจะเป็นวันหยุด"

วันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2559

Kirby's story of star 2nd ep 4 : เชื่อมโยง

     นี่ก็ผ่านมาเกือบเดือนแล้วที่บานดาน่าตัวปลอมจ้องจะทำร้ายพวกเราในวันนั้น
     ชั้นเองก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าทำไมบานดาน่าตัวปลอมถึงปรากฏตัวออกมาให้พวกเราเห็น และพูดเกี่ยวกับโลกกระจกด้วย
     อะไรคือโลกกระจก อะไรคือเงาสะท้อนของเรา อะไรคือด้านมืดของเรา
     บานดาน่าตัวปลอมบอกว่าชีวิตของพวกเราบนโลกนั้น แตกต่างจากที่เราอยู่โดยสิ้นเชิง ทั้งโหดร้าย ทั้งฆ่ากันเพื่อเอาชีวิตรอด
     อีกทั้งยังบอกว่าด้านมืดของชั้นยังโหดร้ายสุดๆด้วย
     ถ้าเป็นอย่างที่บานดาน่าตัวปลอมบอกมา แสดงว่าโลกทางนั้นกำลังต้องเกิดอะไรขึ้นที่เกี่ยวกับพวกเราแน่ๆ ถึงออกมาตามฆ่ากันแบบนี้ แต่ชั้นก็ยังมีสงสัยหลายๆอย่าง ถ้าบานดาน่าตัวปลอมออกมาจากโลกกระจกได้--
     คนอื่นก็ต้องออกมาได้
     ไม่แน่ว่าทั้งตัวชั้น ตัวของดีดีดี ตัวของเมต้าไนท์กับคิลเลอร์ รวมถึงคนอื่นๆในโลกกระจกก็ออกมาแล้ว แค่เพียงรอเวลาเท่านั้น
     ถ้าถึงตอนนั้นแล้ว...ชั้น...จะทำยังไงดี
     "นี่ๆ นายดูนั้นสิ"
     "อะไรเหรอ"
     กลุ่มคนในห้องพากันเรียกพวกมาดูนอกหน้าต่างห้องเรียน ชั้นกับบานดาน่าที่นั่งอยู่ในห้องศิลปะด้วยกันก็ยืนขึ้นดูตาม
     "มีอะไรกันน่ะ..."ชั้นบ่นพึมพัม และเบียดตัวดู
     "นั่นคนในชมรมฟันดาบนี่ครับ?"บานดาน่ามองดู"แล้วนั่นก็ประธานชมรมด้วย เขาชื่อว่ามีน เขาเป็นแชมป์ฟันดาบเยาวชนระดับประเทศหลายปีซ้อนน่ะครับ"
     "เกิดอะไรขึ้นกันนะ ถือดาบทั้งคู่เลย แต่คนที่เป็นสมาชิกดูจะเกร็งๆไปนะ"
     "ผมได้ยินข่าวลือมานะครับว่าสมาชิกที่เข้าชมรมนี้ส่วนใหญ่จะกลายเป็นคนรับใช้ของประธานชมรม ที่ปรึกษาชมรมนี้ก็ไม่มีด้วย ทำให้ยิ่งขยายอำนาจได้ไว้ขึ้น..."บานดาน่าทวน"เดี๋ยวนะครับ....คิลเลอร์ก็อยู่ด้วยในนั้นนี่นา!"
     "เอ๋! คิลเลอร์เนี่ยนะ! ทำไมล่ะ"ชั้นรีบขออาจารย์ลงไปดูพร้อมกับบานดาน่า แต่สายไปเสียแล้ว ทุกอย่างเพิ่งจบลงไป คิลเลอร์เดินออกมาเพื่อจะกลับเข้าห้องชมรมของตัวเอง
     "คิล! เกิดอะไรขึ้นเหรอ?"ชั้นถามเขาไป เขาก็ทำน้ำเสียงเชิงไม่อยากให้พูดตอนนี้ทันที
     "ไว้ค่อยคุยกันที่หอเถอะ วันนี้ประธานชมรมแกอารมณ์ไม่ดีที่มีคนจะขอลาออกไปชมรมอื่น ทางชมรมนั้นเขาอนุมัติแล้ว แต่ว่า...."
     คิลเลอร์หันไปมองประธานชมรมที่กำลังเดินมาทางนี้
     "อะ..เอาไว้คุยกันที่หอเถอะนะ! ป..ไปก็ก่อนล่ะ!"
     "เกิดอะไรขึ้นกันแน่...."ชั้นพูดกับบานดาน่าก่อนที่จะขึ้นบันไดไปห้องชมรมเหมือนเดิม"คิลเองก็เหมือนจะไม่อยากให้พูดต่อหน้าประธานนั่นด้วย"
     "นั่นสิครับ..."บานดาน่าได้แต่พูดแค่ประโยคสั้นๆ เขาก็คงไม่รู้ว่ามีอะไรกัน"อ๊ะ คิลเลอร์?"
     "โชคดีที่ประธานชมรมแกปล่อยมา!"คิลเลอร์วิ่งตามหลังพวกชั้น ท่าทางหอบ"อารมณ์เสียใหญ่เลย บอกว่าหมดอารมณ์จะซ้อม"
     "งั้นเหรอ แต่ว่านายจะไปไหนน่ะ ได้ปล่อยก่อน จะรอเมต้าไนท์เหรอ"ชั้นถามเขา
     "อื้อ จะไปห้องดนตรีน่ะ ดูซิว่าเมต้าไนท์จะเล่นดีมั๊ย เขาชอบจับคอร์ดไม่แน่นพอตลอด"คิลเลอร์เดินตามพวกชั้นและกำลังจะเลี้ยวไปคนละทาง
      "งั้นพวกเราไปก่อนนะครับ"บานดาน่าโบกมือลาคิลเลอร์
     "อื้อ"
      คิลเลอร์เดินไปเงียบๆ เขาหันซ้ายหันขวาเหมือนหลบใครซักคน บานดาน่าจึงหันมาพูดกับชั้น
     "เมื่อกี๊...ผมว่าเขาโกหกเรื่องเลิกแล้วนะครับ"
     "นั่นสิ...ดูลนลานแปลกๆด้วย ไม่ใช่ตัวคิลเลอร์เลยซักนิด สงสัยต้องมีอะไรจริงๆนั่นแหล่ะ.."
      ชั้นกับบานดาน่าเห็นพ้องกัน พักนี้คิลเลอร์ดูแปลกๆไป ทั้งท่าที ทั้งน้ำเสียง ก็ไม่ทุกครั้ง เหมือนเขาจะเป็นเฉพาะแค่ตอนที่มาเรียนเท่านั้น ครั้งนี้มันแสดงออกชัดเจนว่าเขากำลังเจอเรื่องลำบากสุดๆ แต่ก็ไม่ยอมบอกใคร
     ปกติคิลเลอร์เป็นคนค่อนข้างหัวดื้อ ไม่ชอบฟังใคร ไม่ยอมใคร ยกเว้นกับเมต้าไนท์
    เขามักจะตามใจเมต้าไนท์เสมอไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม ว่างจากชมรมเขามักจะแวะไปที่ห้องดนตรีที่เมต้าไนท์อยู่เสมอ ชั้นก็ไม่รู้หรอกว่าไปเพราะอะไร รึว่า...
     "เอ..สีขาว...หว๋า ลืมหยิบสีขาวมาจากใต้ลิ้นชักจนได้"ชั้นบอกบานดาน่า"งั้นชั้นไปที่ห้องก่อนนะ"
     "ครับ เดี๋ยวผมจะบอกครูให้ละกัน"
     "ขอบคุณนะ"
     ชั้นเดินผ่านห้องดนตรีที่อยู่ระหว่างทางเดินไปยังห้องโฮมรูม ได้ยินเสียงของเมต้าไนท์กำลังเล่นกีต้าร์ไฟฟ้าเหมือนทุกวัน ชั้นจึงเดินผ่านไป หยิบขวดสีโปสเตอร์ออกมาจากใต้โต๊ะ เดินออกมา แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ชั้นสดุดตาก่อนออกจากห้อง นั่นก็คือสมุดบันทึกเก่าๆเล่มหนึ่งที่อยู่บนโต๊ะของบุน สภาพของมันราวกับผ่านมาสิบกว่าปีแล้ว ไม่มีชื่อเขียน มีเพียงคำว่า
     "กระจก"
     ชั้นพูดขึ้นมาและหยิบหนังสือถือไว้กับมือ ผ่านฝน ผ่านหนาว ผ่านแดดจนชั้นไม่กล้าเปิดเพราะกลัวจะขาด อีกอย่างก็คือมันจะเสียมารยาทถ้าเป็นของบุนจริงๆ
     กระจก...ทำไมถึงเขียนหน้าปกแบบนี้ล่ะ
     "เคอร์บี้?"
     ช้้นสดุ้งกับเสียงของบุนที่เดินเข้ามาในห้อง เขามองด้วยสายตาที่สงสัยชั้น
     "บ..บุน? หนังสือเล่มนี้ของนายรึเปล่า?"ชั้นยื่นหนังสือเล่มนั้นให้บุน เขายังคงมองชั้นต่อไป
     "นาย..ได้อ่านรึเปล่า"บุนถามย้ำน้ำเสียงกับชั้นราวกับเป็นเรื่องใหญ่"ชั้นถามว่านายได้อ่านรึเปล่า!"
     "เปล่าๆ! ชั้นเพิ่งหยิบขึ้นมากะจะเอาไว้ใต้โต๊ะให้นายเฉยๆ"
     ชั้นตกใจมากที่บุนถามด้วยน้ำเสียงปนโมโห เขาคงไม่อยากให้ยุ่งกับหนังสือเล่มนั้นมากๆ
     "..งั้นแล้วไป"บุนถอนหายใจและใช้น้ำเสียงปกติ"ชั้นไม่ชอบให้ใครยุ่งของชั้นน่ะ"
     บุนเดินออกจากห้องไปพร้อมกับหนังสือเล่มนั้น คงจะย้อนกลับมาเอา
     แต่..ถ้าไม่ชอบให้ใครยุ่งของส่วนตัวก็ไม่น่าจะใช้น้ำเสียงแรงขนาดนั้นนี่นา
     ชั้นเดินออกมาจากห้อง เดินกลับไปทางห้องศิลปะ ได้ยินเสียงคิลเลอร์เอ็ดเมต้าไนท์เรื่องการจับคอร์ด ชั้นก็อดหัวเราะไม่ได้ น้ำเสียงของเมต้าไนท์ดูลนลานทันทีเมื่อพี่ชายว่านู่นนี่ให้
     "จับให้แน่นกว่านี้สิ! ไม่งั้นเสียงมันจะเพี้ยนนะ!"
     ชั้นเดินเข้ามาในห้องศิลปะเหมือนเดิม วางขวดสี และลงมือวาดต่อ หัวข้อวันนี้คืออิสระ บานดาน่าจึงลงมือวาดรูปทะเลที่ตรงกลางเป็นเกาะแคปปี้ พูดถึงก็ชวนคิดถึง ช่วงนี้ก็ไม่ได้กลับบ้านไปนอนบนเตียงทางนู้นเลย สงสัยจังว่ามิโดริจะเป็นยังไงบ้าง
     ชั้นตัดสินใจที่จะวาดดอกไม้ที่มีกลีบสีเหลืองส้มท่ามกลางความมืดมิด ชั้นวาดแบบไม่คิดอะไร ไม่มีแรงบันดาลใจ ไม่มีแนวคิด ก็แค่วาดตามความรู้สึกที่อยากวาด เพราะว่ากระถางดอกไม้เล็กๆที่อยู่ตรงหน้าต่างห้องนอนเก่าของชั้นที่ปังมาม่ามันมีดอกไม้งอกขึ้นมาเป็นกลีบสีเหลือง พวกอุ้มกับบุ๊คที่เข้าไปทำความสะอาดห้องรับแขกถ่ายรูปมาให้และเอาออกจากตรงนั้นมาไว้ที่ครัวแทน ชั้นเลยวาดดอกไม้นั้นขึ้นมา
     แต่ว่า..ใครจะรู้ล่ะว่าดอกไม้นั้นมันเป็นกุญแจตอบคำถามทุกอย่างหลังจากนี้
     หลังเลิกเรียน พวกเราพากันเดินกลับหอ มีแค่เมต้าไนท์กับคิลเลอร์ที่แยกไปทำงานพิเศษ
     "นี่ๆ วันนี้ทำไรกินดีล่ะ"ดีดีดีถามชั้นกับบานดาน่า"เมตี้กับคิลก็กลับดึกเหมือนเคยนั่นแหล่ะ"
     "งั้นไปหาอะไรกินแถวนี้ดีกว่านะครับ"บานดาน่าบอก"เดินลงไปตรงสวนสาธารณะที่ห่างจากที่นี่ไม่มากมีร้านขายบะหมี่อยู่"
     "กู้ดไอเดียๆ!ชั้นอยากกินมานานแล้วล่ะ!"ดีดีดีเดินนำหน้า"ตั้งแต่ออกมาอยู่หอ อิสระมันเป็นแบบนี้นี่เอง!"
     "หมายความว่ายังไงเหรอดีดีดี"ชั้นถามเขาไป ท่าทีเขาก็หงอยลงทันที
     "ก็นะ..อยู่แบบลูกคุณหนูมันไม่ได้ดีอะไรหรอก ต้องรักษาภาพพจน์ เรียนโรงเรียนนานาชาติ ทำตัวให้สงบเสงียม เข้าสังคมชั้นสูง..."ดีดีดีเบาเสียงลง"ไม่มีอิสระเลย"
     "อืม..เอาเถอะ เดินลงไปกัน"ชั้นเดินตามดีดีดีไป เขาทำท่าทีร่าเริงเหมือนเดิม
     ..........
     "อือ..."
     "หืม...."
     "ช่วงนี้เธอยิ่งแปลกไปนะ ดีพเอ็นด์ มีอะไรรึเปล่า"
      ฟูมุถามดีพเอ็นด์ที่นั่งเขียนอะไรซักอย่างบนกระดาษเชิงผังความคิด
     "ก็เขียนเรื่องที่อาจจะเป็นไปได้น่ะสิครับ พอไม่ใช้หูฟังแล้ว มันยากสุดๆเลย..."ดีพเอ็นด์ถอนหายใจ"แต่ก็จะไม่ยอมใช้เด็ดขาด! ห้ามใช้นะดีพเอ็นด์"
      "เรื่องที่เป็นไปได้...?"ฟูมุทวน"เรื่องอะไรเหรอ"
     "ผมสงสัยครับ ผมเป็นเอไอที่มีความรู้สึกขนาดนี้ มีอะไรทุกอย่างเหมือนกับชาวแคปปี้ มันไม่แปลกไปเหรอครับ"ดีพเอ็นด์อธิบาย"การที่จะเมดเทอร์ทำได้ขนาดนี้มันทำให้ผมสงสัย...ว่าผมอาจจะเคยเป็นใครมาก่อนรึเปล่า"
     "..."ฟูมุเงียบและเธอก็นั่งคิดกับดีเอ็นด์ต่อไป
     "งั้น...เธออยากจะออกไปเดินเล่นซักหน่อยมั๊ยล่ะ ที่ข้างนอก"
     "เอ๋? ว่าไงนะครับ?"ดีพเอ็นด์ทวน เขาคิดว่าได้ยินผิด
     "อยู่แต่ในห้องแบบนี้ก็อึดอัดไม่ใช่เหรอ เธอไม่ได้ออกไปไหนเลย ออกไปหาซื้ออะไรกินสิ ร่างกายเธอใช้พวกอาหารเผาพลาญสร้างพลังงานนี่นา แต่เธอก็ไม่ค่อยกินเพราะอยู่แต่ในห้อง ใช้พลังงานไม่เยอะ เดินออกกำลังซักหน่อย กินขนมนิด สูดอากาศบริสุทธิ์"ฟูมุพูดกับดีพเอ็นด์"เอานี่ ชั้นให้ เหมือนให้ค่าขนมนั่นแหล่ะ จำทางได้นะ"
     "แถวนี้มีสวนสาธารณะสินะครับ งั้นผมจะออกไปเดินแถวนั้นละกัน ขอบคุณนะครับที่ให้ออกไป"ดีพเอ็นด์หยิบหมวกสีขาวมาสวมบนหัว สะพายกระเป๋าสะพาย และเปิดประตูออกไป
     ..........
      "รู้สึกดีจังเลยยยย"ชั้นบิดขี้เกียจและเดินเล่นในสวนสาธารณะหลังจากที่ไม่ได้ออกมาเจอโลกหลายเดือนเนื่องจากทางคุณฟูมุต้องการเก็บเรื่องชั้นไว้เป็นส่วนตัว ตำรวจสากลส่วนใหญ่ลงมติว่าชั้นนั้นควรจะได้ดาวน์เกรดลงเหลือเป็นเพียงแค่เอไอทั่วไป แต่คุณฟูมุ คุณกาลาทิค อีกหลายคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกเขาบอกว่าให้ชั้นนั้นเป็นแบบนี้ต่อไป ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีข้อแลกเปลี่ยนคืออยู่ในความดูแลของคุณฟูมุและห้ามใช้หูฟังในการควบคุมอันใดเด็ดขาด
     ชั้นเดินไปที่ตู้กดน้ำอัตโนมัติที่ตั้งอยู่ เลือกชาเขียว หาม้านั่งมานั่งดูน้ำพุที่อยู่ตรงข้างหน้า ชั้นจับกระเป๋าสะพายให้แน่นที่สุดเท่าที่ทำได้ เพราะว่าชั้นเอาหูฟังออกมาด้วย เผื่อเกิดเรื่องฉุกเฉินจริงๆ จะได้ใช้มัน
     ไม่นานนักชั้นก็ได้ยินเสียงคนเดินมา ทั้งที่ตอนนี้คนไม่น่าจะเดินเข้ามาในส่วนนี้กันแล้ว เขาเป็นชาวแคปปี้ตัวสีเดียวกันกับเคอร์บี้ ไม่สิ เหมือนกันทุกอย่าง แต่เขาดูเป็นผู้ใหญ่กว่ามาก เขามองชั้นและอมยิ้ม เดินเข้ามาพูดเสียงเบาๆว่า
     "สวัสดีดีพเอ็นด์ ไม่เจอกันนานเลยนะ"
     ชั้นสดุ้งทันที เขา..รู้ว่าชั้นเป็นใคร ชั้นควรจะทำยังไงดี..
     ไม่สิ ต้องไม่ลนลาน ควรจะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบๆตามที่คุณฟูมุบอก ต้องกลบเกลื่อนให้เนียน บอกว่าทักผิด
     "..คุณจำคนผิดแล้วล่ะครับ ผมไม่ใช่ดีพเอ็นด์หรอก"
     "โธ่! อย่าทำแบบนี้สิ"เขาเดินเข้ามานั่งข้างๆชั้น"กำลังสงสัยใช่มั๊ยล่ะว่าชั้นเป็นใคร รู้ชื่อเธอได้ไง ก็นะ โดนทักแบบนี้ก็ต้องตกใจเป็นธรรมดา เหมือนคนทั่วไปขึ้นทุกวัน ดีแล้วๆ"
     เขามองมาที่ช้้นต่อ
     "ผมบอกว่าผมไม่ใช่ไง"ชั้นตอบเขากลับด้วยคำโกหกเหมือนเดิม
     "กำลังห่วงเคอร์บี้ใช่มั๊ยล่ะ ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึินรึเปล่า"
     "เอ๋?"
     ชั้นจ้องเขาคนนั้นคืนเป็นเวลาหนึ่งก่อนที่ช้้นจะถามเขาอีกครั้ง
     "คุณ...เป็นใคร"
     ชั้นยอมแพ้ตัวเขาที่เขาจับทางชั้นได้หมดราวกับว่าเขารู้อยู่แล้วทุกอย่าง
     "ใส่หูฟังนั่นสิ แล้วมองที่ชั้น"
     ชั้นทำตามเขา ขอโทษนะครับคุณฟูมุ แต่ว่า...
    ชั้นใส่หูฟัง กลับคืนสภาพเดิมของตัวเอง และมองไปที่เขานั้น
    ไม่จริงน่า...
     เขาคนนั้นคือ...
     "ถอดออกได้แล้วๆ แค่รู้ว่าชั้นเป็นใครก็พอ"เขาบอกชั้นให้ถอดหูฟัง แต่ชั้นไม่ทำ จนเขาถอดออกให้
     "อ้ำๆอึ้งๆอยู่นั้นแหล่ะ"เขาหัวเราะ"เป็นไงล่ะ ใช้ชีวิตแบบชาวแคปปี้ทั่วไป"
     "ท..ทำไม..นายทำได้ยังไง..."ชั้นหันไปถามเขา"นาย..."
     "นี่ นายรู้มั๊ยว่าอนาคตมันเปลี่ยนได้ตลอด ถ้าเกิดว่าทำอะไรผิดไป ก็อาจจะไม่ได้มานายเลยนะ"เขาคุยกับชั้นหยิบขวดชาเขียวมา เขาเปิดฝาให้ ยื่นกลับ "แต่ว่าตอนนี้สบายใจได้เลย"
     "แล้วทำไมนายต้องมาหาชั้นล่ะ"
     "แค่แวะมาเฉยๆน่ะ ไม่มีไรหรอก ไม่ได้มานั่งสบายๆแบบนี้นานแล้วล่ะ อีกอย่างก็ชั้นอยากแว๊บมาดูพวกเมต้าไนท์ว่าไม่เป็นอะไรรึเปล่าตอนนี้"
     เขาตอบชั้นถึงเรื่องของเมต้าไนท์กับคิลเลอร์ นั่นทำให้ชั้นสงสัยว่าเขาต้องการมาดูพวกเขาเพราะอะไร แต่ก็ไม่จำเป็นต้องใช้หูฟังดูเรื่องที่จะเกิดขึ้นเลย ในเมื่อ
     "ชั้นกลัวว่าเรื่องที่พวกเขาจะได้รู้เร็วๆนี้มันจะทำร้ายจิตใจพวกเขาทั้งสองคนสุดๆ..เหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ชั้นก็ทำอะไรไม่ได้หรอกนะ"เขาบอก"เอาเถอะ ก็ปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปละกัน"
     "แต่ชั้นก็ยังไม่รู้เลยนะ ว่านายมาได้ยังไง"ชั้นถามเขาอีกรอบ เขาหันมา ยิ้มอ่อนๆให้ และเดินออกไป
     "ก็นะ...ชั้นบอกไม่ได้หรอก ชั้นทำได้แค่มาช่วยบางเหตุการ์ณเท่านั้น เพราะถ้าชั้นยุ่งมากกว่านี้ล่ะก็ มันจะทำให้กาลเวลามันผิดเพี้ยนไปน่ะสิ"เขาหันมา ก่อนที่จะเดินถอยหลังไปอีก"ไปก่อนนะ บาย"
     จู่ๆก็มีลมแรงพัดมา ชั้นจึงรีบหลับตากันฝุ่น เมื่อลืมตาขึ้น เขาคนนั้นก็หายไปเสียแล้ว
     ชั้นนั้นตกใจมาก เขาทำได้อย่างไร เขาอยู่เหนือกฏของกาลเวลาได้อย่างไร อีกอย่างคือ เขามีจุดประสงค์ที่แท้จริงอย่างไร
     เขาย้อนกลับมาในอดีต เพื่อที่จะช่วยให้พ้นสถานะการณ์ไปได้ แน่นอนว่าถ้าผิดนิดเดียว ทุกอย่างจะเปลี่ยนไป เขายอมอยู่บนความเสี่ยงขนาดนั้นเลยเหรอ
้     .........
     "ฮัดชิ้ว!"
     "เป็นไรรึเปล่า เคอร์บี้"
     "ไม่หรอกๆ แค่ฝุ่นเข้าจมูกน่ะ ใครนินทานะ..."
     เคอร์บี้นั่งกินบะหมี่กับเพื่อนของเขาอีกสองคนภายใต้ร้านบรรยากาศอบอุ่น เขาสั่งบะหมี่เกี๊ยวที่น้ำซุปต้มจากกระดูกหมูชั้นดี แน่นอนว่าด้วยความที่ดีดีดีเป็นลูกคุณหนูตระกูลนักชิม เขาย่อมพอใจในระดับนึง ส่วนบานดาน่าก็ตั้งหน้าตั้งตาใส่เครื่องปรุงเพิ่ม เนื่องจากเขาไม่ค่อยชอบน้ำซุปร้านนี้นัก
     "ผมว่ามันแปลกๆไปนิดนะ..."บานดาน่าบ่นพลางตักน้ำตาลใส่ไปครึ่งช้อนโต๊ะ
     "แต่นายเป็นคนชวนมาเองนี่"ดีดีดีพูด เขาตักน้ำซุปเข้าปาก"ชั้นว่าอร่อยดีนะ"
     "ผมไม่ค่อยชอบใช้กระดูกหมูต้มซุปน่ะครับ ผมว่ามันคาวๆไป.."
     เคอร์บี้นั่งเหม่อมองนอกหน้าต่างระหว่างที่บานดาน่ากับดีดีดีคุยกันเรื่องน้ำซุป เขากำลังนึกถึงสมุดของบุน ถ้าเขาเปิดอ่านตอนนั้นจะเกิดอะไรขึ้น แล้วทำไมสมุดเก่าๆเล่มนั้นบุนถึงได้หวงมากราวกับเป็นสมบัติทั้งชีวิต หน้าปกที่เขียนว่ากระจกและตัวอักษรเลือนๆที่อ่านไม่ออกแล้ว
     "เคอร์บี้? เคอร์บี้!"ดีดีดีเรียกเคอร์บี้ ทำให้เขาสดุ้งโหยงจนเกือบทำชามบะหมี่หก
     "มีอะไรกันแน่ นายดูเหม่อๆนะ"ดีดีดีเอามือของเขามาแปะหน้าผากเคอร์บี้"ไม่สบายรึเปล่า"
     "ไม่หรอกๆ ชั้นคิดอะไรเพลินไปหน่อยน่ะ"เคอร์บี้ปัด เอามือของดีดีดีออก
     "งั้นแล้วไป"ดีดีดีถอนหายใจ"ชั้นกลัวนายจะคิดมากจนเหมือนช่วงที่น้องสาวนายมาหานายที่ร้านขนมปัง แล้วไม่สบายจนล้มลงไปเลยน่ะ"
     "น่าๆ ตอนนี้ชั้นไม่มีอะไรที่ต้องคิดมากขนาดนั้นหรอก บางทีนะ...."
     "หืม? ว่าไงนะ?"ดีดีดีหันมาอีกรอบ
     "ไม่มีอะไรหรอกน่าๆ"เคอร์บี้ปฏิเสธรอบสอง
     "ผมว่านะ เคอร์บี้กำลังโกหกอยู่รึเปล่าครับ"บานดาน่าลดเสียงลง"มีอะไรแน่ๆ"
     เคอร์บี้ไม่เถียงบานดาน่ากลับ เขาถอนหายใจเบาๆ ยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม สีหน้าเปลี่ยนไปชัดเจน
     "...อื้อ...ชั้นกำลังสงสัยบุนน่ะ เขามีหนังสือเก่าๆเล่มนึง เขียนหน้าปกว่ากระจก ่แค่ชั้นหยิบขึ้นมาเฉยๆยังไม่ทันได้อ่าน เขาเข้ามาเห็นก็โกธรเป็นฟืนเป็นไฟเลย เขาบอกว่าไม่อยากให้ใครมายุ่งกับของเขา แต่ชั้นสงสัยจริงๆว่าต้องโกธรขนาดนั้นเลยเหรอ.."
     "อื้ม เป็นชั้นก็แบบนั้นนะ แต่โกธรถึงขั้นไหนเหรอ"ดีดีดีถามเคอร์บี้
     "น้ำเสียงเหมือนกับเป็นเรื่องเป็นเรื่องตายเลยล่ะ"เคอร์บี้ตอบกลับไป"แล้วสีหน้าก็ฟ้องว่ายิ่งเป็นชั้นหยิบยิ่งโกธร"
     "มันต้องมีอะไรซักอย่างแล้วล่ะครับถ้าแบบนี้...กระจกเหรอ...?"บานดาน่าทวน"ไม่เอาน่า...มันคงไม่เกี่ยวกับ..."
     ทุกคนนั่งเงียบ และนึกได้ว่าเรื่องของบุนอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับบานดาน่าตัวปลอมก็เป็นได้
     "ชั้น..ชั้นว่าบุนไม่เกี่ยวหรอกมั๊ง...ฮะฮะ..."ดีดีดีพูดน้ำเสียงสั่นเครือ
     "น..นั่นสินะครับ...ผม..ผมคิด..คิดไปเองมากกว่า"บานดาน่าก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงสั่นๆ
     "แต่ว่า...มันก็น่าสงสัยไม่ใช่เหรอ?"เคอร์บี้พูดขึ้นมา"ชั้นว่า...."
     พวกเขาตัดสินใจที่จะไปหาบุนในวันต่อมา โดยที่เรื่องนี้พวกเขาต้องการให้เมต้าไนท์กับคิลเลอร์ไปด้วย
     แต่ทั้งหมดนี้กำลังจะทำให้บางสิ่งเปลี่ยนไป